ประเทศไทยในช่วงปี 2553
ดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท.
มีการปรับขึ้นมา 2
ครั้ง
จนมาอยู่ที่ระดับ 1.75 และจากการประชุม กนง. เมื่อวันที่ 20
ตุลาคม ที่ผ่านมา
มีมติให้ยังคงอัตรานี้อยู่และคาดว่าน่าจะต่อเนื่องไปจนปลายปี 2553 ถึงแม้ว่าทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์
ดอกเบี้ยนโยบายจะไม่มีผลโดยตรงต่อกระแสเงินไหลเข้า
แต่โดยข้อเท็จจริง อัตราผลตอบแทน หรือ ดอกเบี้ยพันธบัตร
จะมีผลผันแปรไปตามดอกเบี้ยนโยบาย
เห็นได้จากดอกเบี้ยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและธปท. อาทิ พันธบัตรอายุ
3-4
ปีร้อยละ 4
และ ปีที่ 5
ร้อยละ 5
ซึ่งเป็นอัตราที่สูง กว่าหลายประเทศในภูมิภาค กล่าวได้ว่า
ดอกเบี้ยนโยบายไม่มีผลโดยตรงต่อการกำหนดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์
แต่มีนัยสำคัญต่อการกำหนดอัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้
ทั้งนี้ทางธปท.ยังยืนยันแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้นโดยมีเหตุผล
ปัจจัยจากอัตราการซื้อแท้จริงติดลบ ขณะที่เศรษฐกิจแท้จริงอยู่ในช่วงขาขึ้น
และปัจจัยเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ซึ่งคาดว่าปีนี้ทั้งปีคงเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ
3.4
อย่างไรก็ดีอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศต่างๆมีผลต่อผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลซึ่งมักจะมีอัตราไม่น้อยกว่าอันตราดอกเบี้ยนโยบาย
ซึ่งกรณีของประเทศไทยเช่นกันซึ่งมีผลทำให้เงินทุนโลก Inflow เข้ามามากกว่าปรกติและเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า
จากตารางข้างล่างแสดงให้เห็นว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของไทยมีอัตราที่สูงเป็นสาเหตุสำคัญที่มีกระแสเงินไหลเข้ามาในประเทศไทย เงินที่เข้ามามากในลักษณะนี้ มีความผิดปกติ
เพราะเศรษฐกิจไทยก็ไม่ได้ดีกว่ามาเลเซีย เกาหลี หรือไต้หวัน
ซึ่งค่าเงินบาทของประเทศเหล่านี้ในช่วง 2
เดือนเศษที่ผ่านมา แข็งค่าเฉลี่ยที่ระดับร้อยละ 3.199
ขณะที่ประเทศไทยแข็งค่าร้อยละ 7.389
ดังนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินที่เข้ามาส่วนใหญ่ เพื่อการเก็งกำไร
และมีส่วนทำให้ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าผันผวนอย่างผิดปกติ