โดยธนิต โสรัตน์ / ประธานกรรมการ V-SERVE GROUP
Logistics และ Supply Chain ต่างดำเนินกิจกรรมอยู่ในอาณาบริเวณของตลาด ซึ่งก็คือลูกค้า แต่โดยข้อเท็จจริงในอาณาบริเวณของตลาดใช่จะมีแต่เฉพาะลูกค้า แต่ก็ยังเป็นอาณาบริเวณเดียวกันกับคู่แข่งและอุปสรรคหรือภัยคุกคาม (THREAT) ทั้งที่อาจมาจากคู่แข่ง , จากกฎหมายและกฎเกณฑ์ต่างจากภาครัฐที่เรียกว่า โครงสร้างส่วนบนของวิถีการผลิตที่เรียกว่า Super structure ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสังคมที่มีต่อสินค้าของเรา ดังนั้นการที่จะ แยกส่วนกระบวนการ Logistics และ Supply Chain ในลักษณะแยกส่วน อาจทำให้ลดศักยภาพในการแข่งขัน จึงต้องมีการจัดการแบบบูรณาการ (Integration) เป็นการจัดการแบบองค์รวม คือมีลักษณะที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่จะเข้มขนาดไหนจะให้น้ำหนักของ Logistics น้อยกว่าหรือมากกว่า Supply Chain ย่อมขึ้นกับสถานะภาพและความรุนแรงของการแข่งขันในตลาด หรือลักษณะความพร้อมของแต่ละธุรกิจและความสอดคล้องของการนำ Supply Chain Management (SCM) มาประยุกต์ใช้ในองค์กร จะเห็นถึงความคล้ายและความแตกต่างของลอจิสติกส์และซัพพลายเชน ซึ่งต่างก็มีกระบวนการซึ่งมีกิจกรรมสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยยากที่จะแยกออกจากกัน
ลอจิสติกส์และซัพพลายเชนต่างมีวัตถุประสงค์ที่แท้จริง (Real Purpose) ดังนี้
1. เพื่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่า (Core Competitiveness)
2. เพื่อทำให้ธุรกิจสามารถทำกำไรได้ดีกว่า (Core Compentency in Profit)
3. เพื่อทำให้องค์กร มีความยั่งยืนและมั่นคง (Sustainable Organization)
Supply Chain Management : SCM ซึ่งประกอบด้วย กระบวนการต่างๆ ซึ่งขับเคลื่อน โดยต่างมีภาระกิจ (Mission) ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดก็จะสนับสนุนเป้าหมาย (Objective) ไปในทิศทางเดียวกัน ในอันที่จะบรรลุถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ทั้ง 3 ข้อข้างต้น การที่จะกำหนดว่าหน่วยงานใดหรือกระบวนการใดจะเป็น Logistics หรือ Supply Chain จึงไม่อาจกำหนดเป็นวิธีการตายตัวได้ เช่น หน่วยงานจัดซื้อและจัดหา บางองค์กรก็เอาไปรวมไว้กับแผนกลอจิสติกส์แต่บางองค์กรก็เรียกหน่วยงานจัดซื้อ Supply Chain ขึ้นอยู่กับลักษณะและประเภทของธุรกิจ โดยจากตาราง ความเป็นบูรณาการของ SCM พอจะแยกแยะภาระกิจ (Mission) ของกระบวนการต่างๆใน Supply Chain ออกได้เป็น ดังต่อไปนี้
- หน้าที่ในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ (Strategy Plan) ในระดับขั้นตอนการวางแผนการตลาด โดยเน้นเป้าหมาย เพื่อให้ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่า Core Competitive
- ภาระกิจในการเติมคำสั่งซื้อ (Full Fill Order) ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในกิจกรรมของหน่วยงานบริการลูกค้า (Customers Service) ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละธุรกิจ บ้างก็นำหน่วยงานนี้ไปขึ้นอยู่กับการตลาด บ้างก็นำไปไว้กับฝ่ายการผลิต บ้างก็ขึ้นตรงกับแผนก Supply Chain แต่ไม่ว่าจะไปวางไว้ที่หน่วยงานใด เป้าหมายของภาระกิจนี้ก็เพื่อให้เกิดความพอใจของลูกค้า ที่เรียกว่า Customer Satisfaction
- หน้าที่ในการจัดซื้อจัดหา ซึ่งในการจัดการ Supply Chain (ซึ่งไม่ใช่ เซ็งลี้ เชน) ภาระกิจการจัดซื้อไม่ใช่มุ่งไปสู่การขูดรีด (Exploitation) ให้ได้ราคาที่ต่ำสุด แต่มุ่งที่จะเป็นการทำธุรกิจที่เรียกว่า Win Win Partnership ดังนั้น ภาระกิจของหน่วยงานจัดซื้อจึงมุ่งไปสู่การจัดการคู่ค้าสัมพันธ์ ที่เรียกว่า SCR : Supplier Relationship Management ทั้งนี้ กิจกรรมของการจัดซื้อ ถือเป็นกิจกรรมในการสร้างพันธมิตรในการร่วมพลังทางธุรกิจ (Business Synergy) โดยมีเป้าหมายหลัก คือ ธุรกิจต้องมีต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้ (Competitive Cost)
- หน้าที่สำคัญและดูว่าจะโดดเด่นของซัพพลายเชน ก็คือ การจัดการขนส่งทั้งวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งปัจจัยส่วนหนึ่งก็จะเป็นเรื่องที่สามารถบริหารจัดการได้ แต่ภาระกิจส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นการจัดการต่อปัจจัยภายนอก (External Factor) ซึ่งค่อนข้างจะควบคุมไม่ได้ เนื่องจากการขนส่งจะเป็นการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการจากแหล่งหนึ่ง (First Origin) ไปสู่อีกแหล่งหนึ่ง (Destination Origin) ซึ่งอาจจะอยู่อาณาบริเวณใกล้กันหรือต่างกันคนละมุมโลก ต้องอาศัย Mode การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport : Land , Sea , Rail , Air) รวมถึงต้องมีการผ่านพิธีการศุลกากร ต้องเกี่ยวข้องกับกฎหมายข้อห้ามของแต่ละท้องถิ่นหรือแต่ละประเทศรวมถึงภัยธรรมชาติและภัยจากสงครามการก่อการร้าย จะเห็นได้ว่าการขนส่ง ซึ่งเป็นกิจกรรมของ Logistics ดังนั้นลอจิสติกส์จึงไม่ใช่มีความหมายเฉพาะเป็นกิจกรรมภายในองค์กร อย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ดี เป้าหมายของการจัดการขนส่งสมัยใหม่ ก็เน้นไปที่การส่งมอบแบบทันเวลา Just In Time ซึ่งการแข่งขันที่รุนแรงความเข้มของการส่งมอบสินค้าจะต้องเป็นแบบให้ตรงกับเวลาที่ลูกค้าต้องการ ที่เรียกว่า Real Time
- ภาระกิจหลักของกระบวนการจัดการ Supply Chain ก็คือ จะต้องมีการเก็บสต๊อกสินค้า (Stock) ให้น้อยที่สุด หรือในปัจจุบันการจัดการคลังสินค้าสำเร็จรูปนั้นในบางธุรกิจสามารถทำได้ถึง Zero Stock คือ ไม่มีการเก็บสินค้าเลย ทั้งนี้ ก็เพื่อสนองต่อเป้าหมายที่สำคัญ ก็คือ ต้องการให้ธุรกิจมีต้นทุนที่แข่งขันได้ ซึ่งการที่จะทำภาระกิจนี้ให้มีประสิทธิภาพนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการกระจายต้นทุน Cost Sharing ไปสู่บุคคลที่สาม ซึ่งก็หมายถึง Logistics Provider หรือ Outsources
- หน้าที่ในการจัดการเพื่อให้เกิดการไหลลื่น (Flow) ทั้งที่เกี่ยวกับสินค้าและข้อมูลข่าวสารภายในองค์กร ซึ่งภาระกิจนี้จะอยู่ในกระบวนการหรือในกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายสินค้า (Moving) และข้อมูล ซึ่งเป็นกิจกรรมของ Logistics ซึ่งตรงภาระกิจนี้เองทำให้เกิดการสับสนว่า Logistics เป็นกิจกรรมเฉพาะภายในองค์กรและ Supply Chain เป็นกิจกรรมระหว่างองค์กร โดยไปเอากิจกรรมของการเคลื่อนย้ายสินค้าภายในองค์กร ไปรวมกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องระหว่างองค์กร สำหรับเป้าหมายสำคัญของการเคลื่อนย้ายสินค้าและข้อมูลภายในองค์กรนั้น มีเป้าประสงค์ที่สำคัญเพื่อเป็นตัวเชื่อมให้แต่ละกระบวนการใน Supply Chain สามารถเชื่อมต่อกันเป็นโซ่ ที่รู้จักกันในนามโซ่แห่งคุณค่า หรือ Value Chain ซึ่งการที่จะดำเนินการให้ได้ถึงเป้าหมายนี้ จำเป็นจะต้องการจัดการข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ รวมถึง ต้องมีระบบอัตโนมัติเพื่อการจัดการการไหลลื่นของวัตถุดิบ-สินค้า (Flow Automation Systems) ทั้งนี้ในกระบวนการเคลื่อนย้ายสินค้าและข้อมูลข่าวสาร (Moving & Flow) จะมีผลต่อประสิทธิผลของการจัดการซัพพลายเชน เพราะจะเป็นกิจกรรมที่เชื่อมอยู่ตรงรอยต่อของโซ่อุปทาน
- หน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเครือข่ายและเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งในส่วนการวางแผนการตลาด , การเคลื่อนย้ายสินค้า , การกระจายสินค้าและส่วนงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง โดยทั้งหมดนี้ก็มีเป้าหมายเพื่อความพอใจของลูกค้า (Customers Satisfaction) และให้การจัดองค์กร มีความเป็นบูรณาการทางข้อมูลสารสนเทศ
- หน้าที่ในการสร้างความแตกต่างที่เหนือกว่า (Differentiate) เนื่องจากการนำการบริหารจัดการ Supply Chain มาใช้ มีวัตุถประสงค์สำคัญก็เพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ทั้งในตัวสินค้าและบริการ ซึ่งภาระกิจนี้จะเป็นกิจกรรมเสริม (Strength Service) ซึ่งจะเป็นกิจกรรมซึ่งจะต้องกระจายไปอยู่แต่ละกระบวนการต่างๆของ Supply Chain แต่จะกระจายไปมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและนโยบายของธุรกิจเป็นสำคัญ ซึ่งในการดำเนินธุรกิจในสมัยปัจจุบัน ซึ่งเต็มไปด้วยการแข่งขัน ยากที่จะแยกความแตกต่างของคุณภาพในตัวสินค้าและราคา จึงจำเป็นจะต้องมีการแข่งดี (Benchmarking) เพื่อสร้างจุดแตกต่างออกจากคู่แข่ง ซึ่งก็เป็นเรื่องของการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) นั่นเอง
- ภาระกิจที่ถือเป็น Highlight ของซัพพลายเชน ก็คือ ต้องการให้มีการขายซ้ำจากลูกค้า (Repeat Order) ซึ่งจะนำธุรกิจไปสู่การสร้างกำไรแบบยั่งยืน (Sustainable Profit) ซึ่งการที่จะให้ลูกค้าที่เคยสั่งซื้อสินค้าให้กลับมาซื้อสินค้าอย่างสม่ำเสมอในสภาพท่ามกลางการแข่งขัน ทั้งคุณภาพ ราคา และบริการ เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ในภาระกิจนี้ก็เพื่อให้ลูกค้ามีการซื้อซ้ำได้นั้น ทุกๆ กิจกรรมของ Supply Chain จะต้องมีการสนองตอบที่ดีจากลูกค้าหรือที่รู้จักกันว่า ECR : Efficient Customer Response ในการจัดการสมัยใหม่จึงได้วางหน้าที่นี้ไว้กับหน่วยงานลูกค้าสัมพันธ์ (CRM : Customers Relationship Management)
- หน้าที่ในการวางแผนการตลาด (Marketing Planning) จะเป็นภาระกิจที่อยู่ในกิจกรรมของหน่วยงานคาดคะเนความต้องการของลูกค้า (Demand Forecasting) ซึ่งในบางธุรกิจ ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนกการตลาดแต่บ้างก็แยกเป็นหน่วยงานอิสระ ซึ่งเป้าหมายในการวางแผนการตลาดก็คือ ต้องการข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยและรวดเร็ว ซึ่งหากจะสังเกตให้ดีจะเห็นว่าภาระกิจวางแผนการตลาดนี้จะมาเชื่อมกลับกลายเป็นกิจกรรมของหน่วยงานวางแผนการตลาด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การปฏิสัมพันธ์ในแต่ละกระบวนการใน Supply Chain จะมีความเป็นบูรณาการเชื่อมต่อกันที่เป็นวงแหวนไม่ใช่ในรูปแบบที่ขนานกับแบบอนุกรม