บทความเรื่อง :: วิเคราะห์เศรษฐกิจประจำเดือนธันวาคม 2549-3
 


สรุปเศรษฐกิจปี 2549

โดยธนิต  โสรัตน์

ประธานกรรมการ V-SERVE GROUP

             ภาพรวมของเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2549 น่าจะขยายตัวร้อยละ 5.1-5.5 โดยมีอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยร้อยละ 4.5 โดยมีการขยายตัวที่ดีในไตรมาสแรกที่ร้อยละ 6.1 , ไตรมาสที่สองร้อยละ 5.0 , ไตรมาสที่สามร้อยละ 4.7 และคาดว่าไตรมาสที่สี่ ร้อยละ 4.5 เป็นการขยายตัวที่ลดลงต่อเนื่อง  ส่งผลให้อุปสงค์ภายในประเทศมีทิศทางชะลอตัว จากการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนจากต่างประเทศ อันเนื่องมาจากปัจจัยราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงปลายไตรมาสที่ 3 ราคาน้ำมัน จึงมีทิศทางที่ลดลงจากราคาเฉลี่ย 70-75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาเรล เหลือ 60-65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาเรล  เศรษฐกิจของไทยในช่วงต้นปี 2549 อยู่ภายใต้ความกังวลของภาคเอกชนต่อความไม่แน่นอนทางการเมือง ในสมัยอดีตนายกทักษิณฯ ที่มีการเลือกตั้งติดต่อกัน  2 ครั้ง ตามมาด้วยการไม่สามารถมีสภาในการพิจารณางบประมาณ ทำให้มีการชงักงันในโครงการใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งลดลงเหลือร้อยละ 5.7 จากปีที่แล้วที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 14.7 ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของภาคประชาชนและเศรษฐกิจมีการถดถอย อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคการผลิตเริ่มมีการผ่อนคลายลงหลังช่วงการยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน 2549 นอกจากนี้ เศรษฐกิจในปีนี้ยังมีปัญหาการชงักงันของภาคเกษตรจากที่เคยขยายตัวร้อยละ 7.4 ในช่วงครึ่งปีแรกเหลือเพียงร้อยละ 5.2 ในไตรมาสที่สาม สาเหตุสำคัญเกิดจากสภาพภูมิอากาศ , ปัญหาการระบาดของไข้หวัดนก , ปัญหาการส่งออกกุ้งจากมาตรการ AD , ปัญหาน้ำท่วมทั่วประเทศครั้งใหญ่ทำให้ 62 จังหวัด กลายเป็นเขตอุทกภัย รวมถึงผลผลิตการเกษตร เช่น ข้าว , ยางพารา มีราคาลดลง โดยเฉพาะปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งหมดนี้ส่งผลต่อการชะลอตัวของการบริโภคของภาคเอกชนเหลือเพียงร้อยละ 3.4 เทียบจากปี 2548 ที่ร้อยละ 4.5-5.0 อย่างไรก็ตาม ภาคอุตสาหกรรมมีการปรับระดับการผลิตเติบโตในเกณฑ์ที่ดี อันเป็นผลจากแรงขับเคลื่อนของภาคการส่งออก โดยดัชนีภาคผลิตอุตสาหกรรมหรือ MPI : Manufacturing Production Index ในไตรมาสที่ 3 ของปี มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 6.6 ซึ่งต่ำกว่าไตรมาสแรกที่ขยายตัว 9.6 โดยการขยายตัวเฉพาะในไตรมาสสุดท้ายน่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 5.5 ของ GDP ทั้งนี้  คาดว่าปี 2549 ทั้งปีมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมจะมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 16.8 ซึ่งสำนักเศรษฐกิจการคลังมีการประมาณเศรษฐกิจไทย 2549 ทั้งปี น่าจะขยายตัวร้อยละ 5.0 โดยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยจะประมาณร้อยละ 4.5 ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อลดลงจากครึ่งปีแรก ที่เงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 5.9  ซึ่งอัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะมีการลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนตุลาคมอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 2.8 อัตราการว่างงานร้อยละ 1.8 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 0.2 ของ GDP เป็นที่น่าสังเกตว่า ในระยะที่ผ่านมาของปีนี้ ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงต้นของไตรมาสสุดท้าย ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าต่อเนื่องไปปิดที่ระดับ 35.55 – 35.8 บาทต่อดอลล่าร์ เป็นการแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 8 ปี และเป็นการแข็งค่าขึ้นร้อยละ 14.5 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2548 และเป็นการแข็งค่าสูงสุด เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศจีน 3.73% ,สิงคโปร์ 6.82% , มาเลเซีย 3.98% , ไต้หวัน -0.01% , เกาหลี 7.91% , ฟิลิปปินส์ 6.34% และอินโดนีเซีย 7.63% สำหรับด้านการเงิน คาดว่าหนี้สาธารณะ น่าจะอยู่ที่ 3.23 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.28 ของ GDP โดยการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ยทั้งปีประมาณ ร้อยละ 5.0 อัตราเงินเฟ้อร้อยละ 4.6 ดุลสะพัดเกินดุลเล็กน้อยประมาณร้อยละ 0.2 ของ GDP หรือเป็นเงิน 9,000 ล้านดอลล่าร์ ทำให้มีเงินสำรองประมาณ 62,500 – 64,000 ล้านดอลล่าร์  โดยเศรษฐกิจและการลงทุนยังไม่ฟื้นตัว มีการชะลอต่อเนื่องไปจนถึงปี พ.ศ. 2550
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2550

           ประมาณการเศรษฐกิจไทย ปี 2550 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.0 – 5.0 อัตราเงินเฟ้อ 3.0-3.5 และดุลบัญชีเดินสะพัด จะเกินดุลประมาณร้อยละ 0.1-0.5 ของ GDP การวิเคราะห์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า คงจะต้องมีติดตามปัจจัยที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งประกอบไปด้วย

1. การบริโภคของภาคประชาชน (C) ปัจจัยที่มีผลต่อการบริโภคของประเทศไทยในปีหน้า จะเป็นในด้านบวก ซึ่งเกิดจากปัจจัยอัตราเงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีแรกจะปรับตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.1 – 2.5 และแนวโน้มราคาน้ำมันอาจมีการปรับราคาลดลงกว่าในปี 2549 โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ จะมีราคาเฉลี่ยบาเรลละ 58-60 เหรียญสหรัฐ ส่งผลต่อต้นทุนภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มลดลง ทั้งจากราคาน้ำมันที่ลดลงและจากการที่รัฐบาลเฉพาะกาลมีนโยบายเดินหน้าโครงการพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับระบบโลจิสติกส์และการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเร่งการใช้จ่ายงบประมาณ (G) ซึ่งจะเป็นปัจจัยต่อการลงทุนและการบริโภคของภาคประชาชน ซึ่งคาดว่าจะมีการขยายตัวร้อยละ 3.7-4.7

2. ด้านการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างมากจนกว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งน่าจะอยู่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2550 แต่การลงทุนของภาครัฐและเอกชน คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นในอัตราร้อยละ 5.6-6.6 อันเป็นผลจากการใช้จ่ายของภาครัฐที่มีการจัดทำงบประมาณที่เร็วขึ้นและการลงทุนในการ Mega Project ที่เกี่ยวข้องกับคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้า ทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนจะเกิดจากแรงขับเคลื่อนภายในประเทศจากที่ผ่านมาเศรษฐกิจของไทยในอดีตขับเคลื่อนจากภาคส่งออก

3. อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะลดลงต่อเนื่อง โดยอัตราเงินเฟ้อปี 2550 น่าจะอยู่ที่ร้อยละไม่เกิน 3.0-3.5 จากผลของค่าเงินบาทที่แข็งค่าและค่าน้ำมันในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดราคา ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าและสินค้าสำเร็จรูป จะมีต้นทุนและราคาที่ชะลอตัวลง ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าผู้บริโภคจะมีอัตราที่ลดลง

4. แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศ น่าจะมีเสถียรภาพ โดยอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสปรับลดราคาลงตามอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน โดยดอกเบี้ยตลาด RP อาจจะอยู่ระดับที่ 4.75 – 5.0 ซึ่งทิศทางการปรับดอกเบี้ยของไทยที่ผ่านมาเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แต่ภาคเอกชนต้องการให้มีการนำเข้ามาใช้  เพื่อที่จะไม่ให้มีการเก็งกำไรในค่าเงินบาทจาก Inflow ต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น ในการรักษาสมดุล ของอัตราดอกเบี้ยในประเทศเพื่อไม่ให้ต่ำไปกว่าดอกเบี้ยของสหรัฐฯ (FED) ซึ่งอาจจะมีการปรับลดลงไปตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ  โดยทิศทางของดอกเบี้ยในปีหน้าจะมีแนวโน้มที่ลดลง

5. การส่งออกของไทย คาดว่าจะอ่อนลงตามเศรษฐกิจของคู่ค้า โดยการขยายตัวจะมีการชะลอตัวลงจากปี 2549 ประมาณร้อยละ 9.5-11.5 โดยการนำเข้าจะมีการขยายตัวที่ใกล้เคียงกันประมาณร้อยละ 9.6-11.6 โดยกระทรวงการคลังคาดการว่าดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2550 จะยังคงเกินดุลที่ 0.3-2.3 ขณะที่ทางสภาพัฒน์ฯ คาดว่าจะเกินดุลประมาณร้อยละ 0.1-0.5 ของ GDP เนื่องจากเป็นการเกินดุลบริการ โดยเฉพาะจากการท่องเที่ยว ในปีหน้าจะเป็นแหล่งนำเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศที่สำคัญ โดยศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ว่าไทยจะขาดดุลการค้า (Net Export) ในปีหน้า ประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

6. ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค โดยปัญหาค่าเงินบาทที่มีการแข็งค่าต่อเนื่องจากปี 2549 จะเป็นปัญหาสำคัญต่อการขาดทุนของผู้ส่งออกอย่างน้อยไปจนถึงกลางปี  คาดว่าในปี 2550 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 35.2-35.5 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ แต่วิเคราะห์จากค่าประกันความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ที่เฉลี่ย 1.50 บาทต่อดอลล่าร์ คาดว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มจะแข็งค่าประมาณ 32.5-33.5 บาทต่อดอลล่าร์และจะแข็งค่าอย่างน้อยไปจนถึงกลางปี พ.ศ. 2550 ซึ่งจะเป็นปัญหาของผู้ส่งออกที่ภาครัฐยังไม่มีทางออกและไม่มีมาตรการในการที่จะแก้ปัญหา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ไม่ได้ใช้วัตถุดิบจากการนำเข้า ซึ่งจะไม่ได้รับประโยชน์จากส่วนต่างของค่าเงิน ถึงแม้ว่ามาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะให้ผู้ส่งออกครองเงินดอลล่าร์สหรัฐฯได้นานขึ้น จาก 7 วันเป็น 15 วัน ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นมาตรการที่ดี เนื่องจากผู้ส่งออกต้องมีการใช้จ่ายเงิน และจะต้องเร่งขายเงินดอลล่าร์ เนื่องจากมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง  ทั้งนี้ ขอให้จับตาปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า ซึ่งเกิดจากการเก็งกำไรของต่างชาติในปีหน้า จะมีแนวโน้มขยายตัวเป็นวงกว้าง จากการที่ผู้ส่งออกขาดทุนก็จะไปกดราคาซัพพลายเออร์ในประเทศ หรือหันไปใช้วิธีนำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้ากึ่งสำเร็จรูป ส่งผลให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจะสูงขึ้น และจะมีปัญหา NPL รอบใหม่ ซึ่งภาครัฐจะต้องทำความเข้าใจปัญหา และผลกระทบของการแข็งค่าของเงินบาทให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ การแก้ปัญหาอย่างใช้แต่เชิงวิชาการ โดยต้องเน้นการแก้ปัญหาให้เห็นผลระยะสั้นในการให้ค่าเงินบาทของไทย มีการแข็งค่าใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่ง
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2550

             ความกังวลเกี่ยวกับค่าเงินบาทของไทย มีการแข็งค่าเกินไปติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน และจะเป็นปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีหน้า นอกเหนือจากปัญหาการแข็งค่าของเงินสกุลบาทแล้ว ยังมีความเสี่ยงจากการชะลอตัวของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ เช่น เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา , ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ซึ่งจะมีการเติบโตเฉลี่ยอยู่ประมาณร้อยละ 2.0 ขณะที่ประเทศจีนจะมีการส่งออกที่ชะลอตัวลง ซึ่งจะก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างรุนแรงในตลาดส่งออก ทำให้ภาคส่งออกบางสาขา ได้รับผลกระทบ โดยภาคการส่งออกของไทย เป็นตัวเลข GDP กว่าร้อยละ 67 จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ยังมองปัจจัยส่งออกในด้านบวก โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 2550 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 เป็นมูลค่าการส่งออก 1.45 แสนล้านดอลล่าร์ (จากที่คาดการณ์ว่าปี 2549 จะขยายตัว 16% มูลค่าการส่งออก 1.29 ล้านดอลล่าร์ จากเป้าหมายที่ต้องการให้ขยายตัว 17.5 คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 1.3 ล้านดอลล่าร์) โดยดุลการค้าในปี 2550 ประเทศไทยจะมีการขาดดุลประมาณ 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ  นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้า คงเป็นปัญหาด้านการเมือง ทั้งจากคลื่นใต้น้ำ และทิศทางในการจัดการของรัฐบาลเฉพาะกาลในปัญหาความมั่นคงในสามจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะความไม่นิ่งทางการเมืองหลังการเลือกตั้งในช่วงปลายปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่จากต่างประเทศตลอดปี พ.ศ. 2550
          ปัจจัยเชิงบวกในปีหน้าที่เห็นชัดเจน คือ สภาคองเกรสของสหรัฐฯ ได้อนุมัติกฎหมายขยายเวลาระบบสิทธิพิเศษทางศุลกากรหรือ GSP ซึ่งจะหมดอายุในวันที่ 31 ธันวาคม ศกนี้ ออกไปอีก 2 ปี โดยที่ผ่านมาประเทศไทยส่งออก โดยใช้สิทธิ GSP ไปสหรัฐฯเป็นมูลค่า 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยสินค้าที่ไทยได้ GSP คิดเป็นร้อยละ 19 ของสินค้าที่ส่งออกไปประเทศสหรัฐอเมริกา และสหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกของไทยกว่าร้อยละ 17

วิเคราะห์การเติบโตทางเศรษฐกิจของปี 2550
           จากการพยากรณ์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของประเทศไทย ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2550 อาจจะมีการขยายตัวเพียงร้อยละ 3 ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี แต่ภาวะอุตสาหกรรมมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสต่อไป และขยายตัวสูงขึ้นประมาณร้อยละ 6 ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า จะถูกผลักดันจากการบริโภคภายในมากกว่าการส่งออก ซึ่งคาดว่าจะมีการชะลอตัวอันเนื่องมาจากการแข็งค่าของค่าเงินบาท   โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะมีผลทำให้การขยายตัวโดยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 3.5-4.0 โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2550 น่าจะอยู่ที่ร้อยละ 4.6-5.0 โดยเศรษฐกิจของไทยไปผูกไว้กับตลาดส่งออกที่สำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับขาลง ทั้งนี้ จากการที่เศรษฐกิจของไทยมีการเชื่อมโยงในระบบการเงินของโลก  ประเด็นที่จะต้องจับตาในปีหน้าก็คือการปรับดอกเบี้ยของ Fed Funds  ซึ่งเป็นธนาคารกลางของสหรัฐฯ ซึ่งได้มีการประกาศเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2549 ในการยังคงอัตราร้อยละ 5.25 และมีสัญญาณการบ่งชี้ว่า FED อาจมีการปรับลดลงร้อยละ 0.25 ภายในเดือนมีนาคม 2550 ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรซื้อคืน 15 วันไว้ที่ร้อยละ 5.0 และในวันที่ 17 มกราคม 2550 จะเปลี่ยนไปใช้ดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ซึ่งปัจจุบันมีดอกเบี้ยร้อยละ 4.9  ทั้งนโยบายการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ได้มีเป้าหมายในการรักษาเสถียรภาพของเงินบาทโดยเฉพาะ แต่ต้องยอมรับว่าค่าเงินบาทที่ผ่านมามีการปรับตัวแข็งค่าอย่างมาก ในอัตราที่มากกว่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคนี้ และเป็นแรงกดดันต่อความลำบากของการส่งออกของไทย อย่างไรก็ตาม การที่ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่ามีส่วนสำคัญต่อการกดอัตราเงินเฟ้อของไทย ให้อยู่ในอัตราที่ต่ำประมาณ ร้อยละ 2.5-2.8 จากที่ภาครัฐมีการประมาณว่าจะเป็น 3.0-3.5 อันเนื่องมาจากการลดลงของราคาน้ำมันและราคานำเข้า ดังนั้นคงจะไม่เห็นมาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ย เพียงเพื่อสกัดการแข็งค่าของเงินบาท แต่ก็มีหลายสถาบันมีการพยากรณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย อาจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยซื้อพันธบัตรลงมาเหลือร้อยละ 4.0 – 4.5 ในปลายปี 2550 ก็เป็นไปได้


         การขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย นอกเหนือจากปัจจัยภายใน จะต้องให้ความสำคัญของการขยายตัวของตลาดคู่ค้า โดยแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา จะขยายตัวที่ชะลอตัวจากร้อยละ 3.3 ในปี 2549 เหลือร้อยละ 2.7 , กลุ่มยูโรขยายตัวลดลงจากร้อยละ 2.6 เหลือ 1.9 เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวลดลงจากปี 2549 ร้อยละ 2.8 เหลือร้อยละ 2.3 ในปี 2550 และจีนจะขยายตัวร้อยละ 9.6 จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัวที่ชะลอตัว โดยการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย ในปี 2550 ในมุมมองของต่างชาติ เช่น สำนักเครดิตลีอองเนส เอเชีย มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2550 จะมีการย่ำแย่ จะเป็นผลกระทบของการตกต่ำของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยอาจมีการเติบโตไม่เกินร้อยละ 2.8 ธนาคารเพื่อการลงทุนยูบีเอส ประมาณการณ์ร้อยละ 3.9  และธนาคารโลก ได้ทำนายว่าเศรษฐกิจของไทยจะเติบโตร้อยละ 4.6 สำหรับการวิเคราะห์จากภายในประเทศกระทรวงการคลังของไทย พยากรณ์ว่าไทยน่าจะรักษาอัตราการเติบโตไว้ที่ร้อยละ 4.5 และธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศว่าในปี 2550 ประเทศไทยมีแนวโน้มจะเติบโตในระดับ 4.5-5.5 โดยสภาพัฒน์ฯ คาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะโตร้อยละ 4.0-5.0 , ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะโต 4.6-5.1 สำหรับผู้วิเคราะห์มองว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ในปี 2550 น่าจะอยู่ที่ 4.0-4.5 จะเชื่อของใคร..ก็ต้องพิจารณากันเอง.. การวิเคราะห์เศรษฐกิจของสายงานเศรษฐกิจ สภาอุตสาหกรรมฯ เป็นการวิเคราะห์ส่วนบุคคล ความน่าเชื่อถือขอให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้ที่จะนำไปใช้  พบกันใหม่ปีหน้า..และสวัสดีปีใหม่


 


ไฟล์ประกอบ ไม่มีไฟล์


วันที่ 30-04-2007  

 
หน้าหลัก