โดย ดร.ธนิต โสรัตน์
รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย
วันที่ 28 มีนาคม 2559
ในที่สุดรถไฟความเร็วสูงทางคู่ไทย-จีน หนองคาย-กทม.-ระยอง-มาบตาพุด มูลค่า 6-7 แสนล้านบาทเป็นอันยุติ หลังจากสัปดาห์ที่แล้วผู้นำไทยประกาศในการประชุมผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ณ เกาะไหหลำ ประเทศจีน โครงการนี้คุยกันมาเกือบ 2 ปี ประชุมอย่างเป็นทางการ 9 ครั้ง จีนอืดอาด โยกโย้ จากเดิมตกลงจะเข้ามาเป็นหุ้นใหญ่ 60-70% กลับกลายเป็นเงินกู้ ดอกเบี้ยสุดโหด ลดจากทางคู่เหลือทางเดี่ยว แถมมีเงื่อนไขเอาเปรียบจนรับไม่ได้
ต้องขอเชียร์รัฐบาลที่ตัดสินใจระงับโครงการทั้งที่มีการเปิดตัวไปแล้ว เพราะเงื่อนไขของจีนงอกออกมาไม่รู้จบ ล่าสุดจะขอให้ไทยยกที่ดิน 2 ข้างทางและสถานีตลอดเส้นทางเกือบพันกิโลเมตร ให้จีนไปพัฒนา-บริหารจัดการ เป็นสิ่งที่รับไม่ได้จริงๆ อีกทั้งยังโก่งค่าก่อสร้าง ค่าซื้อรถ ค่าเทคโนโลยีจนสูงมากเกินกว่าจำนวนเงินที่เคยตกลงกัน
เรื่องนี้ควรเป็นอุทาหรณ์ในอนาคตไม่ว่ารัฐบาลนี้หรือรัฐบาลหน้า เพราะเล่นกับจีนนั้นไม่ใช่ง่ายๆ เพราะภาคเอกชนทำธุรกิจหรือเป็นหุ้นส่วนกับจีนต้องเขี้ยวรากดินหรือต้องเป็นระดับ ?เซียน? จึงจะประสบความสำเร็จ ตอนเริ่มต้นแห่สิงโต จุดประทัด ดูดีไปหมด แต่พอเดินหน้าทำจริงจะเพิ่มนั่นลดนี่ ตกลงราคาไว้ดิบดี พอเอาจริงค่าใช้จ่ายบานเบอะเอาแต่ประโยชน์ฝ่ายเดียว ถึงมีสัญญาหากเสียเปรียบก็ไม่ทำเสียดื้อๆ ประเทศจีนมีความฝันเฟื่องเรื่องการเชื่อมโยงเส้นทางสายไหมลงใต้มาหลายสิบปี ขนาดบรรจุไว้ในแผนพัฒนาประเทศและผลักดันเชื่อมเส้นทางถนนและเส้นทางรถไฟกับไทยให้ได้ เพราะจากไทยสินค้าจีนสามารถเข้าไปขายในนครย่างกุ้งและพม่าตอนใต้และเชื่อมทางรถไฟกับมาเลเซีย ถามว่าในทางกลับกันไทยจะมีสินค้าอะไรขนไปให้จีน เพราะผัก-ผลไม้จีนเข้ามาได้รับยกเว้น Vat 0% แต่ของไทยส่งไปขายจีนเจอภาษี 13% แค่นี้ก็รู้ว่าแข่งได้หรือไม่ได้
อย่างไรก็ตามรัฐบาลมีการทบทวนลดขนาดโครงการ โดยปรับเป็นเส้นทางกรุงเทพฯ-โคราช ระยะทาง 250 กิโลเมตร เป็นรถไฟความเร็วสูงใช้งบ 1.9 แสนล้านบาท โดยไทยจะเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด ซึ่งโครงการนี้เข้าท่ากว่ามาก เพราะปัจจุบันจังหวัดนครราชสีมาเป็นแหล่งอุตสาหกรรมและเป็นประตูของภาคอีสาน หากมีรถไฟฟ้าไฮสปีดความเร็วสูง เชื่อมโยงกับกรุงเทพฯจะทำให้โคราชกลายเป็นเมืองเศรษฐกิจ ทั้งด้านการค้า เศรษฐกิจและฮับโลจิสติกส์เชื่อมโยงกับจังหวัดต่างๆของภาคอีสาน
ประเด็นที่กลายเป็นคำถามและไม่เข้าใจว่าเมื่อยกเลิกโครงการแล้ว ทำไมยังต้องไปผูกพันกับจีนอีก ขนาดประกาศว่าจะใช้รถและเทคโนโลยีจีน แถมจะให้จีนเข้ามาบริหารจัดการ ควรจะเริ่มต้นใหม่ให้มีการแข่งขันประมูล ใครเสนอเงื่อนไขที่ดีก็เลือกรายนั้น ซึ่งก็ไม่ปิดกั้นประเทศจีนให้เข้ามาลงทุน
ทั้งนี้โครงการรถไฟฟ้า กทม.-โคราช หากจะเดินหน้าขอให้พิจารณาให้ทวนที เพราะเงินที่ลงทุนเป็นเงินกู้ เป็นภาระของประเทศในอนาคต และไม่ใช่โครงการเร่งด่วน ควรพิจารณาถึงความคุ้มค่าและปริมาณผู้โดยสาร ซึ่งมีทางเลือกในการเดินทางเช่น รถไฟ รฟท.ตั๋วชั้น 3 ช้าหน่อยแต่ไม่ต้องจ่ายตังค์ หากจะเอาประเภทด่วน 3 ชม.ถึงมีรถตู้โดยสารค่ารถ 200 บาท และยังมีรถทัวร์ค่าตั๋วตีไป-กลับ เพียง 395 บาท นั่งสบายๆ 4 ชม.ถึงแล้ว ดังนั้นรถไฟฟ้ากทม.-โคราชถึงจะเร็วกว่าแต่ค่าตั๋วคงแพงหูฉี่ คุ้มไม่คุ้ม คงดูแต่กำไรค่าโดยสารไม่ได้ แต่ต้องคิดไกลไปถึงเศรษฐกิจและโอกาสของคนอีสานในอนาคต....จริงไหมครับ (สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ทางเว็บไซต์ www.tanitsorat.com หรือ www.facebook.com/tanit.sorat)
*****************************
" />
|
||||
|
||||
โล่งใจ ปลดล็อค รถไฟไทย-จีน แต่? Shareโล่งใจ ปลดล็อค รถไฟไทย-จีน?แต่? โดย ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย วันที่ 28 มีนาคม 2559
ในที่สุดรถไฟความเร็วสูงทางคู่ไทย-จีน หนองคาย-กทม.-ระยอง-มาบตาพุด มูลค่า 6-7 แสนล้านบาทเป็นอันยุติ หลังจากสัปดาห์ที่แล้วผู้นำไทยประกาศในการประชุมผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ณ เกาะไหหลำ ประเทศจีน โครงการนี้คุยกันมาเกือบ 2 ปี ประชุมอย่างเป็นทางการ 9 ครั้ง จีนอืดอาด โยกโย้ จากเดิมตกลงจะเข้ามาเป็นหุ้นใหญ่ 60-70% กลับกลายเป็นเงินกู้ ดอกเบี้ยสุดโหด ลดจากทางคู่เหลือทางเดี่ยว แถมมีเงื่อนไขเอาเปรียบจนรับไม่ได้ ต้องขอเชียร์รัฐบาลที่ตัดสินใจระงับโครงการทั้งที่มีการเปิดตัวไปแล้ว เพราะเงื่อนไขของจีนงอกออกมาไม่รู้จบ ล่าสุดจะขอให้ไทยยกที่ดิน 2 ข้างทางและสถานีตลอดเส้นทางเกือบพันกิโลเมตร ให้จีนไปพัฒนา-บริหารจัดการ เป็นสิ่งที่รับไม่ได้จริงๆ อีกทั้งยังโก่งค่าก่อสร้าง ค่าซื้อรถ ค่าเทคโนโลยีจนสูงมากเกินกว่าจำนวนเงินที่เคยตกลงกัน เรื่องนี้ควรเป็นอุทาหรณ์ในอนาคตไม่ว่ารัฐบาลนี้หรือรัฐบาลหน้า เพราะเล่นกับจีนนั้นไม่ใช่ง่ายๆ เพราะภาคเอกชนทำธุรกิจหรือเป็นหุ้นส่วนกับจีนต้องเขี้ยวรากดินหรือต้องเป็นระดับ ?เซียน? จึงจะประสบความสำเร็จ ตอนเริ่มต้นแห่สิงโต จุดประทัด ดูดีไปหมด แต่พอเดินหน้าทำจริงจะเพิ่มนั่นลดนี่ ตกลงราคาไว้ดิบดี พอเอาจริงค่าใช้จ่ายบานเบอะเอาแต่ประโยชน์ฝ่ายเดียว ถึงมีสัญญาหากเสียเปรียบก็ไม่ทำเสียดื้อๆ ประเทศจีนมีความฝันเฟื่องเรื่องการเชื่อมโยงเส้นทางสายไหมลงใต้มาหลายสิบปี ขนาดบรรจุไว้ในแผนพัฒนาประเทศและผลักดันเชื่อมเส้นทางถนนและเส้นทางรถไฟกับไทยให้ได้ เพราะจากไทยสินค้าจีนสามารถเข้าไปขายในนครย่างกุ้งและพม่าตอนใต้และเชื่อมทางรถไฟกับมาเลเซีย ถามว่าในทางกลับกันไทยจะมีสินค้าอะไรขนไปให้จีน เพราะผัก-ผลไม้จีนเข้ามาได้รับยกเว้น Vat 0% แต่ของไทยส่งไปขายจีนเจอภาษี 13% แค่นี้ก็รู้ว่าแข่งได้หรือไม่ได้ อย่างไรก็ตามรัฐบาลมีการทบทวนลดขนาดโครงการ โดยปรับเป็นเส้นทางกรุงเทพฯ-โคราช ระยะทาง 250 กิโลเมตร เป็นรถไฟความเร็วสูงใช้งบ 1.9 แสนล้านบาท โดยไทยจะเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด ซึ่งโครงการนี้เข้าท่ากว่ามาก เพราะปัจจุบันจังหวัดนครราชสีมาเป็นแหล่งอุตสาหกรรมและเป็นประตูของภาคอีสาน หากมีรถไฟฟ้าไฮสปีดความเร็วสูง เชื่อมโยงกับกรุงเทพฯจะทำให้โคราชกลายเป็นเมืองเศรษฐกิจ ทั้งด้านการค้า เศรษฐกิจและฮับโลจิสติกส์เชื่อมโยงกับจังหวัดต่างๆของภาคอีสาน ประเด็นที่กลายเป็นคำถามและไม่เข้าใจว่าเมื่อยกเลิกโครงการแล้ว ทำไมยังต้องไปผูกพันกับจีนอีก ขนาดประกาศว่าจะใช้รถและเทคโนโลยีจีน แถมจะให้จีนเข้ามาบริหารจัดการ ควรจะเริ่มต้นใหม่ให้มีการแข่งขันประมูล ใครเสนอเงื่อนไขที่ดีก็เลือกรายนั้น ซึ่งก็ไม่ปิดกั้นประเทศจีนให้เข้ามาลงทุน ทั้งนี้โครงการรถไฟฟ้า กทม.-โคราช หากจะเดินหน้าขอให้พิจารณาให้ทวนที เพราะเงินที่ลงทุนเป็นเงินกู้ เป็นภาระของประเทศในอนาคต และไม่ใช่โครงการเร่งด่วน ควรพิจารณาถึงความคุ้มค่าและปริมาณผู้โดยสาร ซึ่งมีทางเลือกในการเดินทางเช่น รถไฟ รฟท.ตั๋วชั้น 3 ช้าหน่อยแต่ไม่ต้องจ่ายตังค์ หากจะเอาประเภทด่วน 3 ชม.ถึงมีรถตู้โดยสารค่ารถ 200 บาท และยังมีรถทัวร์ค่าตั๋วตีไป-กลับ เพียง 395 บาท นั่งสบายๆ 4 ชม.ถึงแล้ว ดังนั้นรถไฟฟ้ากทม.-โคราชถึงจะเร็วกว่าแต่ค่าตั๋วคงแพงหูฉี่ คุ้มไม่คุ้ม คงดูแต่กำไรค่าโดยสารไม่ได้ แต่ต้องคิดไกลไปถึงเศรษฐกิจและโอกาสของคนอีสานในอนาคต....จริงไหมครับ (สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ทางเว็บไซต์ www.tanitsorat.com หรือ www.facebook.com/tanit.sorat) *****************************
ไฟล์ประกอบ : โล่งใจ ปลดล็อค รถไฟไทย-จีน แต่.doc อ่าน : 1439 ครั้ง วันที่ : 29/03/2016 |
||||
|